เมื่อเวลา 13.00 น.ที่ผ่านมา องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จัดเสวนาเรื่อง การรัฐประหารเปลี่ยนแปลงประเทศไทยอย่างไร? ณ ห้องจิ๊ด เศรษฐบุตร คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยเชิญนายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือบก.ลายจุด รศ.ดร.สุดา รังกุพันธุ์ อาจารย์จากคณะอักษรศาตร์ จุฬาลงกรณ์มาวิทยาลัย นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อหลากสี และนายแทนคุณ จิตต์อิสระ อดีตผู้สมัครส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ มาร่วมเสวนา ท่ามการการดูแลความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจสน.ชนะสงครามหลายสิบนาย
โดยก่อนการเสวนานั้นนายสมบัติจับมือกับ นพ.ตุลย์ท่ามกลางเสียงปรบมือของประชาชนที่มาฟังการเสวนาถึงสองครั้ง และช่วงก่อนเปิดการเสวนาได้มีการฉายวีดีโอรำลึกห้าปีการรัฐประหารของ คมช.ท่ามกลางเสียงโห่ลั่นห้อง และในการเสวนาช่วงที่ นพ.ตุลย์และนายแทนคุณอภิปราย จะมีเสียงโห่ร้องแสดงความไม่พอใจจากประชาชนที่มาร่วมฟังเสวนาลั่นห้อง และตบมือแสดงความดีใจในช่วงที่นายสมบัติแสดงความเห็น โดยประชาชนส่วนใหญ่ในวันนี้เป็นคนเสื้อแดง แต่สถานการณ์โดยทั่วไปเป็นปกติ
โดยที่การเสวนาเริ่มต้นที่ นพ.ตุลย์ กล่าวว่า จุดประสงค์วันนี้ไม่ใช่วิเคราะห์รัฐประหาร แต่จะวิเคราะห์ว่าอนาคตการเมืองไทยจะเป็นอย่างไร ทุกคนและทุกสีวันนี้ อยากมองว่าอนาคตบ้านเมืองจะเป็นเช่นใด หลายคนหลงไปกับคำว่าการเมืองแต่ลืมคำว่าบ้านเมือง การเมืองและรัฐประหารเกิดผลกระทบกับทุกคนทั้งดีและเลว หากอยากให้บ้านเมืองเป็นอย่างไรต้องทำเท่าที่ทำได้ รัฐประหารครั้งล่าสุดนั้น ก่อนหน้านี้มีการคัดค้านรสช.ท่ามกลางวลี”เสียสัตย์เพื่อชาติ”และครั้งนั้นบาดเจ็บล้มตายมากกว่าทุกครั้ง คิดว่าคงจะไม่มีรัฐประหารเกิดขึ้นอีก เพราะต่างประเทศไม่ยอมรับ
จากนั้นมีการเลือกตั้ง การตั้งสสร. และการร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนที่อยากให้รัฐบาลเข้มแข็ง รวมทั้งสร้างองค์กรอิสระตรวจสอบรัฐบาล แต่แล้วมันก็เกิดขึ้นอีก ถามว่าใครเป็นคนทำ คำตอบคือทหารทุกครั้งและมีข้ออ้าง
นพ.ตุลย์ กล่าวว่า พลเรือนทำรัฐประหารได้ครั้งเดียวคือเมื่อปี 2475 ถามว่าประชาชนจะคัดค้านรัฐประหารจากทหารและตำรวจนั้นจะทำได้หรือไม่ หากจำกันได้รสช.และคมช.อ้างเหมือนกันคือนักการเมืองทุจริต เพราะการเมืองอ่อนแอและคนเบื่อการเมืองที่ทุจริต มันเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ รสช.ยึดอำนาจรัฐบาลพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เพราะข้อหาบุฟเฟต์คาบิเนต และคมช.อ้างว่ารัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรในข้อหาทุจริตและหมิ่นสถาบัน การรัฐประหารสองครั้งที่อ้างแบบนี้เพื่อให้ประชาชนเห็นด้วย
รศ.ดร.สุดากล่าวว่า วันนี้ต้องเรียนรู้ร่วมกัน คำว่าปรองดองคือกระบวนการขจัดความขัดแย้งไปสู่ความสมานฉันท์ เริ่มจากยุคใหม่ที่รัฐบาลมาจากการเสียงของประชาชน วันนี้จึงพร้อมที่จะแลกเปลี่ยนกันทั้งสังคมที่มีปัญหายืดเยื้อห้าปี จุดตั้งต้นมาจากกระบวนการที่เกี่ยวข้อง ในหลายเหตุการณ์จนต่างชาติเรียกว่าวิกฤตไทย และต้องนำมาแยกแยะทำให้ปัญหาเลวร้ายลง กลุ่มแรกที่ควรรับผิดชอบคือนักวิชาการ และสื่อมวลชนบางส่วนที่สนับสนุนรัฐประหาร วันนี้น่าจะรู้แล้วว่าทำลายประเทศเช่นใด
ตนเคยเข้าใจผิดในเรื่องนี้ และวันนี้สิ่งที่ผิดไปแล้วควรแก้ไข ขอวิงวอนว่าห้าปีที่แล้วทุกส่วนในสังคมมีส่วนทำให้วิกฤตเลวร้าย หากกลับไปยืนในส่วนของประชาชนน่าจะแก้ไขได้
รศ.ดร.สุดากล่าวว่า นายนวมทอง ไพรวัลย์ โชเฟอร์แท็กซี่ซึ่งต่อต้านรัฐประหาร โดยขับแท็กซี่ชนรถถัง ทำให้รู้ว่ารัฐประหารครั้งนี้นองเลือดและจากนั้นก็โดนเหยียดหยามว่าจะมีใครพลีชีพ ที่สุดแล้วนายนวมทองตัดสินใจผูกคอตายที่สะพานลอยหน้านสพ.ฉบับหนึ่ง มันไม่ใช่ตามที่คมช.กล่าวอ้างกับต่างชาติว่า เป็นรัฐประหารที่ไร้การนองเลือดเพราะประชาชนยินยอม ห้าปีนี้มีคนตายหลายร้อยคน จะแยกการเสียชีวิตจากการสังหารหมู่ที่ราชประสงค์และผ่านฟ้าจากการรัฐประหารได้เช่นใด เพราะมันเป็นข้อเสนอของประชาชนที่จะแก้วิกฤติการเมืองคือเลือกตั้งใหม่อย่างเป็นสันติวิธี
เหตุการณ์เมษาเลือดนั้นมันเป็นข้อเสนอให้เลือกตั้ง แต่กลับมีทหารเข้ามาสลายการชุมนุม ผลการสืบสวนยังไม่ปรากฏและหลายคนไปทุกที่ที่มีศพไม่มีญาติเกิดขึ้น ความรุนแรงที่คมช.ยึดอำนาจจากการอ้างว่ารัฐบาลทุจริต คตส.ตรวจสอบเรื่องนี้แทนกรรมการปกติ มีการเขียนบทเฉพาะกาลเพื่อเปลี่ยนบุคลากรในกระบวการยุติธรรม
คมช.เข้ามาทำให้กระบวนการยุติธรรมไทยเสียหายย่อยยับเช่นกัน โดยข้ออ้างตุลาการภิวัตน์เพื่อสร้างความชอบธรรมในการตัดสินใจแทนประชาชนว่าเที่ยงตรง ยุติธรรม เป็นกลางกว่าเสียงประชาชน และตอนนี้ประเทศไทยกลายเป็นไร้มาตรฐานแทนสองมาตรฐาน นิติรัฐและนิติธรรมหายไป วันนี้ควรปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ ประชาชนแตกแยกแล้วหลังรัฐประหารครั้งนี้
ต่อมานายสมบัติ กล่าวว่า สมัย รสช.หนึ่งสัปดาห์จากการยึดอำนาจตนโดนจับที่นี่เพราะเสนอละครใบ้ มันไม่ควรมีประเทศที่มีทหารกระทำแบบนี้ แม้รัฐประหารครั้งล่าสุดจะมีประชาชนบางส่วนไปมอบดอกไม้ให้ทหาร แต่ตนเชื่อว่าประชาชนได้บทเรียนจากสมัยรสช.เพราะพฤษภาทมิฬคือผลพวง บทเรียนการใช้ความรุนแรงในครั้งนั้นมีการเสนอคู่มือการต้านรัฐประหารของมูลนิธิโกมล คีมทอง หลังรัฐประหารครั้งล่าสุดกรรมการบางคนในมูลนิธิกลับไปสนับสนุนการรัฐประหารแทน
รัฐประหารครั้งนี้เปลี่ยนประเทศไทยจากหน้ามือที่ไม่สะอาดเป็นหลังเท้าเขียวๆคือท็อปบูท ยอมรับว่ามีเหตุขัดแย้งทางการเมืองจริง เพราะเปลี่ยนความคิดคนไทยจากช่างมันฉันไม่แคร์ เป็นถามกูหรือยัง
“เปลี่ยนจากคนใส่เสื้อเหลืองเกือบทั้งประเทศเป็นเสื้อสีแดง ถามว่าวันนี้เสื้อแดงคือใคร ตอบคือเคยใส่เสื้อเหลืองมาก่อน คนกลุ่มนี้โดนระบุว่า รักในหลวง ห่วงทักษิณ เปลี่ยนจากทหารอาชีพ เป็นทหารการเมือง ไม่มีประเทศใดที่ทหารแสดงความเห็นทางการเมืองผ่านทีวี หากใครเห็นว่ามันปกติ ควรไปเช็กอะไรบางอย่างได้เเล้ว เปลี่ยนการแสดงความเห็นเสรีภาพของประชาชนเป็นภัยความมั่นคง เพราะตนโดนจับสมัยที่แสดงความไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญที่จ.เชียงราย เปลี่ยนรัฐธรรมนูญของประชาชนเป็นชองรัฐประหาร เปลี่ยนกระบองและแก๊สน้ำตาเป็นสไนเปอร์ เปลี่ยนกระสุนยางเป็นกระสุนจริง เปลี่ยนมิติคนนิ่งเฉยเป็นคนออกท้องถนน ประชาชนตื่นและหิวโหย โดยถามว่าเกิดอะไรขึ้น
ประชาชนเดินถามความจริงกันแล้ว รัฐประหารครั้งนี้ถามว่าสิ่งใดไม่เปลี่ยนบ้าง ตนนึกไม่ออกเลย หากมองไม่เห็นอีกว่าประเทศนี้เปลี่ยนเช่นใดตามที่ตนพูดไว้” นายสมบัติกล่าว
นายสมบัติ กล่าวว่า รัฐประหารให้ประโยชน์กับใครบ้าง ช่วงแรกอาจมีคนเห็นด้วยกว่าร้อยละแปดสิบ แต่วันนี้ถามว่าใครเห็นด้วยบ้างเพราะแม้แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งระบุไม่เห็นด้วย หรือแม้แต่ผู้กระทำการรัฐประหารที่เคยเชื่อว่า มันเป็นสิ่งถูกต้องคือพลเอกสนธิ บุญยะรัตกลิน เพราะช่วงนั้นไปเรียนคณะรัฐศาสตร์แล้วไปดูงานพรรคการเมืองที่ตัวเองยุบไปจากนั้นลงสมัครส.ส. พลเอกสนธิ เคยพูดหลังดำเนินการรัฐประหารไม่สำเร็จโดยระบุว่า มันฉี่ไม่สุด จากนั้นอ้างว่า ไม่อยากทำและไม่ควรเกิดขึ้นรวมทั้งเสียใจ มันเป็นตลกร้ายที่เกิดขึ้นในประเทศ
“ความหวังในบทเรียนนี้นั้น ประเทศต้องดีเบตเรื่องนี้แบบจริงจังโดยตัดทหารออกไปว่า นิยามประชาธิปไตยนั้น กลุ่มพันธมิตรฯกับนปช.กำลังดีเบตในเรื่องนี้ว่าแปลว่าอะไร และไม่ควรใช้คำว่าปรองดองที่แปลว่าหุบปาก เพราะคำ ๆ นี้ควรแปลว่ารับฟัง ยอมรับความแตกต่าง ตีกรอบวงไว้ไม่ให้ความแตกต่างลุกลามไปถึงขั้นฆ่าฟันกันเพราะความคิดที่ต่างกันสุดขั้วจากกระทำที่ล้มเหลวและไร้ประโยชน์จากการรัฐประหาร วันนี้น่าทึ่งและชื่นชมนพ.ตุลย์ที่มาในวันนี้ ทำให้เห็นว่าคำว่าสุดขั้วนั้น สองฝ่ายควรจะโต้ตอบทางความคิดกันเช่นใด และทุกฝ่ายควรให้เกียรติรับฟังความเห็นที่แตกต่างกันได้ด้วย เพื่อให้ความขัดแย้งที่บางฝ่ายชอบอ้างไว้นั้นจะหมดไป”นายสมบัติกล่าว
“การรัฐประหารครั้งล่าสุดไม่ใช่เจตจำนองของทหาร เพราะทหารเป็นแค่เครื่องมือในปฏิบัติการครั้งนี้ วันนี้ต้องทำให้ประชาชนเข้มแข็งเพื่อสร้างประชาธิปไตยให้เติบใหญ่ต่อไป”นายสมบัติกล่าว
ต่อมานายแทนคุณกล่าวว่า ในฐานะคนรุ่นใหม่ ตนละอายใจกับการรัฐประหาร ตนสืบค้นสาเหตุของการเกิดขึ้น บทเรียนที่ดีมันมาจากบทเรียนที่เลว ข้ออ้างต่างๆเช่นทุจริต ล้มเจ้า แบ่งแยก หากเปรียบเป็นโรคนั้นคือมะเร็ง แต่กลับเชื่อว่าถ้านำเชื้อเอชไอวีฉีดเข้าไปแล้วจะหาย แต่มันกลับแย่ลง ยุคที่ผ่านมาคือจราจลทางเสรีภาพ สมมติฐานที่เกิดขึ้นจริงนั้นมันเป็นไปตามที่ตนระบุไว้มีจริง แต่ควรให้ประชาธิปไตยเดินหน้าโดยไม่ตัดตอนแบบสำเร็จรูปจากการรัฐประหาร เพราะเป็นต้นเหตุของทั้งหมด ภาพใหญ่ของสังคมคือประชาธิปไตยอุดมการณ์กับประชาธิปไตยผลประโยชน์
วันนี้ทุกคนบาดเจ็บจากการมีอำนาจมากแล้วทุจริตจนเป็นเผด็จการสัมปทานอำมหิตนิยม วันนี้หลังการรัฐประหารนั้น กองทัพแยกกันเอง และแตกแยกกับประชาชน ฉะนั้นมันต้องยอมมีประชาธิปไตยที่วุ่นวายที่ดีกว่าการบาดเจ็บล้มตาย กลไกบางอย่างโดนบิดเบือนเช่นรักใครมากๆที่ประชาชนมองเห็นแต่ข้อดี แต่วันนี้หากอยากตรวจสอบคนทุจริตนั้น จะเชื่อมั่นในการตรวจสอบได้เช่นใด วันนี้ตนรู้สึกว่าคนไทยบางส่วนยอมรับการโกงกันได้ ทั้งๆที่มันไม่ควรเกิดขึ้นเลยในทุกยุค
นายแทนคุณ กล่าวว่า ถามว่า เรายอมรับความเห็นที่แตกต่างกันได้หรือไม่เพื่ออนาคตที่ดีและคุณภาพประชาชนหากสร้างคนรุ่นใหม่ขึ้นมาได้ สิ่งที่น่ากลัวคือความแตกแยกที่มาจากความแตกต่าง มันเกิดเผด็จการซ่อนรูปขึ้นมา และปลุกเร้าการจราจลทางเสรีภาพ ตนไม่เห็นด้วยกับการยุบพรรค เพราะกฎหมายไม่ควรใช้ย้อนหลัง แต่ข้อเสียของสังคมไทยคือไม่ค่อยยอมรับความเห็นของคนรุ่นใหม่ หากมีเวทีแบบนี้มากขึ้นประเทศจะมีอารยะขึ้น
การรัฐประหารมันเกิดขึ้นและจบไป เชื้อร้ายค่อยๆมอดไปแต่สิ่งที่เป็นข้ออ้างนั้นยังไม่หมด และมีการบูรณาการการโกงกินไปยังทุกภาคส่วนเพราะมีการแบ่งฝ่ายกันแล้ว ขอถามทิ้งท้ายว่าปรากฏการณ์การใช้ความรุนแรง ในกองทัพนั้นมีคนแตกแถวและพร้อมใช้อำนาจประหารประชาชนนั้น หวังผลเช่นใด ความรุนแรงที่เกิดขึ้นนั้น ทหารบางส่วนสนับสนุนคนเสื้อแดง ทหารบางส่วนต้องการความสูญเสีย ทหารบางส่วนต้องการปฏิบัติการที่ไปสู่ความสงบ
นายแทนคุณ กล่าวว่า วันนี้ต้องกำหนดบทบาทของพลเมืองในด้านศีลธรรมและประชาธิปไตย หากพลเมืองเข้มแข็งแล้ว การรัฐประหารจะอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ น่าเสียดายว่าสื่อบางช่องไม่มีเวทีในการแลกเปลี่ยนความเห็นในเรื่องนี้เพราะมีแต่สื่อที่เป็นขั้วตรงข้ามที่เสนอแต่ข่าวและความเห็นของฝ่ายตัวเองเท่านั้น
ตนชื่นชมคนเสื้อแดงที่กล้าที่จะสู้เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม แต่ควรมององค์กรอื่นที่แตกต่างกันด้วย และไม่ควรตกอยู่ใต้อาณัติบางฝ่ายที่มากไป เช่นนักการเมืองที่ตัวเองรัก หากทำในสิ่งที่ไม่ถูก คนเสื้อแดงก็ควรอบรมเหมือนคนในบ้านเดียวกัน ความตายที่เกิดชึ้นนั้น ทุกคนมีส่วนในการหาคำตอบหรือสร้างรอยร้าวให้เกิดขึ้น มันต้องหาคนผิดมารับโทษ บทเรียนและการขัดเกลาคุณธรรมให้สำนึกกฎหมายนั้น เป็นสิ่งสำคัญสุดและเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเพราะเผด็จการจะไม่เกิดขึ้นและการทุจริตก็จะไม่เกิดขึ้นอีก
ส่วนความหวังและทางออกที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนั้น รศ.ดร.สุดาระบุว่า สิ่งที่นายแทนคุณอ้างไว้ว่า วาทกรรมนักการเมืองโกงกินและเผด็จการรัฐสภา มันเป็นการปูพื้นให้เกิดการรัฐประหาร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น นักวิชาการบางกลุ่มร่วมกันทำงานและอ้างไว้จนเกิดปัญหาด้านเดียวในการบริหาร มันทำให้เกิดคำว่าคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย ทำให้คำว่าประชานิยมเป็นตัวร้ายและคนที่ดำเนินการโดนขับไล่ออกจากประเทศโดยอาวุธที่มาจากภาษีประชาชน
รัฐประหารนั้นคือคำว่าฆ่าประชาชนเพราะยึดประชาธิปไตยไปจากประชาชน ควรนำตัวมาขึ้นศาล หากว่าศาลรองรับประชาชนจำนวนมากไม่ได้ ก็ควรไปขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ วงจรอุบาทว์ต้องแก้โดยเริ่มจากแก้รัฐธรรมนูญตามข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์
นพ.ตุลย์ กล่าวต่อว่า ตนมีเจตนามาสื่อความเห็นในวันนี้ คือแสดงความเห็นโดยสุจริต เพราะรัฐประหารมันคือความเลวร้ายและหากไม่ต้องการให้เกิดขึ้นนั้น ต้องอย่าให้เกิดข้ออ้าง วันนี้ควรทบทวนบทเรียนไม่ให้เกิดขึ้นอีก หากจะพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศให้เข้มแข็ง คือยอมรับความเห็นที่แตกต่างและโต้แย้งแบบมีเหตุผล หากประเทศนี้จะพัฒนาอย่างยั่งยืนนั้น อย่าว่ารักหรือเกลียดคนบางคนแบบถาวร และไม่ใช่เชียร์แบบไม่ลืมหูลืมตา
นายสมบัติกล่าวว่า วิกฤตินี้เป็นวิกฤติของคนที่คิดว่าตัวเองเป็นคนดี ไม่ใช่การบอกว่าการเมืองที่โกงกันนั้นการรัฐประหารเป็นสิ่งที่ดี วันนี้กำลังเรียนรู้กันกับคำว่าคนดีและความดี หากไม่เรียนรู้กันแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า สิ่งใดคือความขาวและความดี มันต้องนำเรื่องเเบบนี้ขึ้นโต๊ะแล้วมาคุยกัน ประชาธิปไตยแบบไทยๆนั้นขอเสนอว่าควรเรียนรู้ประชาธิปไตยในทุกรูปแบบ หากทำไม่ได้มันก็เดินหน้าไปไหนไม่ได้และบางส่วนมาจกการบิดของนักวิชาการบางส่วนด้วย และบางคนที่คิดว่าตัวเองเป็นคนดีที่ทำตัวเลยเถิด หากปัญญาชนไทยทำสิ่งที่เลยเถิดแล้วยอมรับ สังคมยังให้อภัยได้
“หนังจีนก็เช่นกัน เช่นมีจอมยุทธฝ่ายธรรมะที่รวมตัวไปปราบฝ่ายอธรรมในถ้ำเพื่อกวาดล้างให้สังคมสะอาด ทำจนกระทั่งโจรโอดควรญว่าทำไมฝ่ายธรรมะโหดเหี้ยมได้เช่นนี้ ข้อเสนอของตนในวันนี้คือ ประชาธิปไตยต้องมีทางออกที่มาจากประชาชนเท่านั้น การหลงไปในวันนี้มันผิด และทหารควรปรับทัศนคติด้วย
นายแทนคุณกล่าวว่า ความเลื่อมล้ำในสังคมไทยมีสูงมากและนักการเมืองนำมาใช้ ตนคิดว่าควรมองไปไกลช้างหน้าคือการตรวจสอบที่เข้มแข็งจากทุกภาคส่วน คำๆหนึ่งคือความยุติธรรมที่ล้าช้าคือความไม่เป็นธรรมนั้นหากแก้ไขได้ ประชาชนจะเคารพกฎหมาย ความขัดแย้งจะเบาลง รวมทั้งการเปิดช่องทางการแลกเปลี่ยนความคิดกันและกัน ความหมายคำว่าคนดีนั้นไม่ใช่เพื่อโจมตีคนอื่น แต่คำๆนี้มีหน้าที่คือทำให้คนรู้สึกว่ามีความดีที่ได้กระทำในสิ่งที่ดีกับสังคม
โดยในช่วงท้ายการเสวนาเกิดความวุ่นวายขึ้น เพราะช่วงเปิดให้ประชาชนสอบถามกับแขกรับเชิญ ประชาชนส่วนใหญ่เป็นคนเสื้อแดงแสดงความไม่พอใจกับคำตอบของนพ.ตุลย์และนายแทนคุณเริ่มมีเสียโห่แสดงความไม่พอใจมากขึ้น และจุดวุ่นวายคือตัวแทนนักศึกษามาวิทยาลัยรังสิตได้แย่งไมโครโฟนจากเจ้าหน้าที่ไปพูดกล่าวว่า ที่ประชุมไม่รับฟังความเห็นกันและกันแบบนี้นั้นไม่สมควร จึงทำให้เกิดการขว้างปาขวดน้ำและเตรียมทำร้ายร่างกาย
ตำรวจต้องคุมตัวนพ.ตุลย์และนักศึกษาคนดังกล่าวออกมาจากห้องประชุมและส่งตัวกลับไปทันที จากนั้นก็ปิดเสวนาแต่คนเสื้อแดงยังชุมนุมอยู่ที่ลานคณะนิติศาสตร์อีกระยะแล้วแยกย้ายกันไป
0 comments:
Post a Comment