งานสัมมนาของพรรคประชาธิปัตย์ |
′มาร์ค′ตำหนิผลวิจัยกัลยา
วันที่ 3 ก.ย. เวลา 09.00 น. ที่โรงแรมท็อปแลนด์ จ.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์จัดสัมมนา "เดินหน้าต่อไป ด้วยนโยบายเพื่อประชาชน" เป็นวันที่ 2 เพื่อปรับโครงสร้างและยุทธศาสตร์การทำงานของพรรค ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก กรรมการบริหารพรรค ส.ส.พรรคเข้าร่วมพร้อมเพรียง โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค เป็นประธานเปิดงาน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวตอนหนึ่งว่า หลังเลือกตั้งเสร็จสิ้นลง หลายส่วนได้เดินหน้ารับฟังความคิดเห็นเพื่อประเมินการทำงานของพรรค แต่น่าเสียใจว่าข่าวที่ออกไปเกี่ยวข้องกับการทำงานของพรรค ทำให้พรรคเสียหายโดยไม่จำเป็น ซึ่งในที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคเมื่อวันที่ 2 ก.ย. ได้ตำหนิกรรมการบริหารพรรคไปแล้วว่าทำให้พรรคเสียหาย เราเป็นกรรมการบริหารพรรค ต้องรับผิดชอบ และไปชี้แจงกับประชาชนว่าข่าวที่ออกไป เป็นเพียงส่วนหนึ่งของงานวิจัยการตลาด สอบถามความคิดเห็นจากประชาชนส่วนหนึ่ง โดยมีคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ประธานส.ส. เป็นผู้ดำเนินการ นอกจากนั้นยังมีงานของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน รองหัวหน้าพรรค และนางอานิก อัมระนันทน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่ไปรวบรวมมาด้วย
ปลุกลูกพรรคเร่งทำแต้ม
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ผลการวิจัยของคุณหญิงกัลยา เป็นการสำรวจความคิดเห็นในพื้นที่จ.ขอนแก่น และเชียงใหม่ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่เคยเลือกเราหรือไม่เคยคิดจะเลือกเรา จึงมีการวิจารณ์ในลักษณะนี้ ซึ่งการทำวิจัยมีการถามข้อมูลพรรคอื่นด้วย แต่ไม่ขอพูดถึง เกรงจะเป็นการหมิ่นประมาท อย่างไรก็ตาม เราจะนำข้อเสนอเหล่านี้มาปรับปรุง ดังนั้น อย่าไปตกใจ ขอให้ไปทำความเข้าใจกับประชาชนให้ชัดเจน ทั้งนี้ เราต้องยืนหยัดในแนวทางการทำงานการเมืองที่ถูกต้องและ 11 ล้านคนที่เลือก ซึ่งเราต้องยืนหยัดทำหน้าที่ต่อไป
"เราต้องไม่หมกมุ่นกับสถานการณ์ที่ผ่านไปแล้ว อย่ามองแค่เรื่องแพ้เลือกตั้ง แต่ต้องมองต่อไปว่าจะชนะเลือกตั้งอย่างไร ไม่ว่าจะ 4 ปี หรือ 6 เดือน ต้องเร่งทำให้เสร็จโดยเร็ว และต้องให้ประชาชนเห็นว่าพรรคต้องการพาประเทศไปทางไหน ซึ่งจะเป็นธงกำหนดทิศทางการทำงานของพรรคต่อไป" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
แฉกันเอง′ขรก.-ตร.′เกลียดปชป.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน รองหัวหน้าพรรค นำเสนอผลแบบสอบถามความคิดเห็นของประชาชน โดยไม่เปิดให้สื่อมวลชนเข้าฟัง ทั้งนี้ เมื่อเสนอเสร็จ ได้เปิดให้ส.ส.แสดงความคิดเห็น โดยนายวิลาศ จันทรพิทักษ์ ส.ส.กทม. อภิปรายถึงจุดอ่อนของพรรคว่า อยู่ในช่วงที่ได้เป็นรัฐบาล โดยข้าราชการ 2 ล้านคนไม่เอาเรา และเราไม่มีความสามารถจะดึงมวลชนกลุ่มนี้ไว้ได้ เนื่องจากเรามีปัญหาเรื่องโครงสร้างความยุติธรรมต่อระบบราช การ เพราะตำแหน่งทางการเมืองหรือข้าราชการการเมืองที่เราจัดคนลงไป ไม่ได้ให้ความยุติธรรมกับข้าราชการ ทำให้ข้าราช การไม่ให้ความเคารพ ที่สำคัญคือ ตำรวจไม่เอาเรา แม้แต่ข้าราชการในสายอาชีวศึกษา ก็มีแต่คนด่าพรรคประชาธิปัตย์ทั้งนั้น ไม่ว่าในกทม.หรือท้องถิ่น เหมือนเราไปใช้อำนาจข่มเขา มีงานอะไรก็ไปหยิบเครื่องมือเขามาใช้ แต่เขาไม่เคยได้อะไรตอบแทน เราไม่เคยดูแลเขาเลย
รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อนายวิลาศ สะท้อน ปัญหาจบ ในเวลา 10.30 น. ผู้ดำเนินรายการได้ตัดบทให้แบ่งกลุ่มย่อยส.ส.เพื่อระดมความเห็นทันที
′ถาวร′ชงแก้เกมแพ้เลือกตั้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายถาวร เสนเนียม รองหัวหน้าพรรค ได้แจกเอกสารรายงานการพัฒนาเชิงสถาบันของพรรค โครงสร้างการพัฒนาศักยภาพสาขาพรรค ที่จะเสนอให้ที่ประชุมพิจารณา มีเนื้อหาระบุสภาพการแข่งขันของพรรคการเมือง ที่มีวิธีหาเสียง 3 วิธีหลัก 1.อาศัยเครือข่ายหัวคะแนน 2.การสร้างกระแสปลุกปั่น และ 3.การสร้างกลุ่มผู้รับบริการ โดยเฉพาะการสร้างกระแสปลุกปั่นด้วยการสร้างภาพ ก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคมและระบาดไปทั่วแผ่นดิน ทำให้คนรู้สึกเคียดแค้นกันโดยไม่มีเหตุผล เลือกข้างแบ่งฝ่ายโดยไม่ทราบข้อเท็จจริง รวมถึงการสร้างทัศนคติเชิงลบต่อสถาบันสำคัญของชาติ
รายงานระบุว่า การทำอย่างไรให้การเมืองเป็นการเมืองที่เทิดทูนสถาบันของชาติให้คงอยู่คู่ชาติตลอดไป ถือเป็นโจทย์ใหญ่ และทำให้คนไทยเข้าใจว่าอำนาจการเมืองมิใช่อำนาจอันสมบูรณ์ที่สามารถล้มล้างความผิดทุกอย่าง และไม่ใช่มีเพียงคนใดคนหนึ่งเท่านั้นที่ทำเพื่อคนจน ที่จริงแล้วเขามีผลประโยชน์ทับซ้อน แยกมายาคติออกจากความเป็นจริง ทำให้หลุดพ้นจากอำนาจวาทกรรมหรือการฉลาดใช้คำพูดเพื่อสร้างอำนาจครอบงำ
แนะตั้งส.ส.เงาคุมพื้นที่
รายงานยังนำเสนอว่า พรรคต้องมีการปรับเปลี่ยนเชิงสถาบันเพื่อรองรับการต่อสู้ เพิ่มความเข้มแข็งสาขาพรรคหรือศูนย์ประสานงาน เพิ่มช่องทางการสื่อสารทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพโดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือและอีสาน ซึ่งประชาชนรับรู้ผลงานรัฐบาลประชาธิปัตย์น้อยมาก น่าจะเป็นผลให้ได้คะแนนน้อยในพื้นที่ดังกล่าว เป็นปัญหาจากการขาดฐานมวลชน จึงควรเปิดช่องทางการสื่อสาร อาทิ ทีวี วิทยุ และสิ่งพิมพ์ เพื่อสื่อสารนโยบายพรรคและผลงาน เผยแพร่ข้อเท็จจริงและความจริงให้ประชาชนรับทราบเพื่อป้องกันข้อมูลเท็จ รวมทั้งเปิดเวทีสาธารณะเพื่อรับฟังความเห็น เพื่อตรวจสอบข้อบกพร่องความล้มเหลวของรัฐบาลในการบริหารประเทศ
"นอกจากจะตั้งครม.เงาขึ้นมาตรวจสอบรัฐบาลแล้ว บทเรียนจากการพ่ายแพ้การเลือกตั้ง โดยเฉพาะการไม่มีส.ส.ในหลายพื้นที่ในภาคเหนือและอีสาน จึงควรจัดให้มีส.ส.เงาเกิดขึ้น เพื่อทำงานควบคู่กับสาขาพรรคในพื้นที่ที่พรรคไม่มีส.ส.ทุกเขตทั่วประเทศ เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนกรณีฝ่ายตรงข้ามผลิตวาทกรรมโจมตีพรรคดังที่ผ่านมา" รายงานระบุ
พระแนะมาร์คต้องกล้าเสี่ยง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงพักเวลา 11.50 น. นายอภิสิทธิ์ พร้อมผู้บริหาร และส.ส.พรรคจำนวนหนึ่ง ได้เดินเท้าไปยังวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร เพื่อกราบนมัสการพระพุทธชินราช โดยมีประชาชนให้การต้อนรับ รุมขอถ่ายรูปตลอดทาง ซึ่งนายอภิสิทธิ์ได้กราบนมัสการพระธรรมเสนานุวัตร พิพัฒน์กิจจานุยุต เจ้าอาวาสและรองเจ้าคณะภาค 5
พระธรรมเสนานุวัตร ได้กล่าวกับนายอภิสิทธิ์ว่า เชื่อว่ารัฐบาลชุดนี้จะอยู่ไม่ถึงเดือนธ.ค.นี้ หรืออย่างช้าก็เดือนเม.ย. เป็นเพราะนโยบายที่รัฐบาลทำไว้ เช่น กองทุนน้ำมันที่คาดว่าจะเกิดปัญหาแน่นอน จึงขอฝากนายอภิสิทธิ์ว่า หากได้กลับมาเป็นนายกฯอีก ต้องเป็นคนกล้า ต้องเสี่ยง หมดแล้วหมดไปไม่ต้องห่วง ต้องทำทันที อย่างรวดเร็ว ต้องรู้จักหน้าที่ ต้องเข้าใจประชาชน คอยดูแลและต้องมีบริวาร ที่สำคัญต้องใช้ปัญญา ขอฝาก 3 ข้อไว้ให้คิดคือ 1.เป็นคนเก่ง 2.เป็นคนดี 3.ทำอย่างไรให้ประชาชนมีความสุข โดยการเป็นคนดีจะต้องมีจริยธรรมและคุณธรรม จะทำให้ประชาชนมีความสุข คนที่เป็นนายกฯต้องคิด ต้องปรับปรุง หากเป็นคนเก่งด้วยมีคุณธรรมด้วยจะเป็นสิ่งที่ดี ควรเอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาช่วยในการทำงาน จะต้องตีธรรมะให้แตก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พระธรรมเสนานุวัตร ได้มอบพระพุทธชินราช(ใบเสมา) องค์สีน้ำตาลให้นายอภิสิทธิ์ ด้วย 1 องค์ แต่หลังจากทราบว่าราคาพระมีมูลค่าเกิน 3 พันบาท ได้ให้คนสนิทนำไปมอบคืนให้เจ้าอาวาส
ชี้รัฐบาลมุ่งแต่ประโยชน์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการสัมมนาพรรคช่วงบ่าย เป็นการสรุปเนื้อหาของทั้ง 4 กลุ่มที่ระดมความคิดเห็น จากนั้นนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคพิจารณาอีกครั้ง
เวลา 15.20 น. นายอภิสิทธิ์ แถลงผลสรุปการสัมมนาว่า ที่ประชุมเห็นตรงกันว่า ภารกิจสำคัญที่สุดที่ต้องทำตั้งแต่วันนี้ คือสร้างความพร้อมในการขับเคลื่อนประเทศไทย เพราะมั่นใจว่าแนวทางการบริหารประเทศปัจจุบัน ไม่อาจให้คำตอบกับประชาชนได้ รัฐบาลปัจจุบันทำงานสร้างแรงจูงใจเฉพาะหน้า แต่ไม่ได้ตอบโจทย์ของประเทศในระยะยาว และยังมุ่งเพื่อผลประโยชน์ของพวกพ้องในเดือนแรก ตอกย้ำถึงสภาพการเมืองที่จะเป็นปัญหาในอนาคต โดยเฉพาะการแบ่งแยกประชาชน การปรารถนาในอำนาจที่ผูกขาด ด้วยเหตุผลเหล่านี้จึงต้องเตรียมความพร้อมสร้างอนาคตให้กับคนไทยทุกคน โดยจะต้องปรับเปลี่ยนแนวทางการทำงาน ทั้งการจัดรูปแบบองค์กรโครงสร้าง ไปถึงเรื่องการสื่อสาร การบริหารจัดการภายในที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง
เผย 6 ก.ย.ได้ครม.เงา
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ดังนั้น จึงมีการเพิ่มเติมอีก 4 ส่วน คือ 1.นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน จะสร้างกลุ่มงานในเรื่องการวิจัย การจัดทำยุทธศาสตร์ 2.นายจุติ ไกรฤกษ์ ทำกลุ่มงานในระบบสื่อสาร การประชาสัมพันธ์ทั้งหมด 3.นายกรณ์ จาติกวณิช ไปพัฒนากลุ่มงานติดตามประเมินผลนโยบาย ที่จะมาช่วยงานรัฐสภา ครม.เงา และ 4.นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ไปพัฒนานโยบายที่เป็นทางเลือกในอนาคต และให้รองหัวหน้าภาคแต่ละภาคไปจัดตั้งกลไกให้เหมาะสม มีการประเมินและรายงานกรรมการบริหารพรรคทุกเดือน และในวันที่ 6 ก.ย.นี้จะมีการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค คาดว่าจะได้ข้อสรุปเรื่องการจัดตั้งครม.เงา
ชี้ปชป.ต้องรบแบบกองโจร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การสัมมนาช่วงบ่าย ซึ่งเป็นการแยกกลุ่มระดมความคิดเห็น มีกลุ่มที่น่าสนใจ อาทิ กลุ่มนโยบาย ซึ่งเสนอกรอบคิดนโยบายเพื่อชนะเลือกตั้งครั้งต่อไป คือต้องเป็นนโยบายที่เข้าถึงให้ได้ จับต้องได้ และต้องไม่ตรงกับคู่แข่ง แต่ต้องเหนือกว่า และกล้าคิดนอกกรอบ แต่ต้องสื่อสารนโยบายให้ทั่วถึง ที่สำคัญต้องให้ประชาชนเชื่อในนโยบายที่นำเสนอด้วย ต้องเตรียมประเด็นการนำเสนอที่เข้าใจง่ายและรวดเร็ว นอกจากนี้ต้องเสริมการต่อสู้ด้วยการจัดตั้งมวลชนและสร้างอารมณ์ร่วมในพื้นที่ โดยเฉพาะนโยบายรัฐบาลปัจจุบันที่มีปัญหา ข้อจำกัด พร้อมวิธีแก้ หรือสิ่งที่ดีกว่าในเรื่องนั้นๆ รวมทั้งถามประชาชนว่าไม่เห็นด้วยกับนโยบายรัฐบาลปัจจุบันในเรื่องใด
"สิ่งสำคัญคือแนวทางการดำเนินงาน ที่ผ่านมาพรรครักษากฎกติกามารยาทมาก ทำให้เสียโอกาส ซึ่งต่อไปต้องกล้าดำเนินการและอายน้อยกว่านี้" รายงานข่าวระบุ
ด้านกลุ่มภาพลักษณ์และการสื่อสาร ส.ส.สะท้อนบทบาทของหัวหน้าพรรคที่ผ่านมาค่อนข้างเข้าถึงได้ยาก แต่มีการปรับดีขึ้นในช่วงเลือกตั้งที่ผ่านมา และควรแก้ไขระบบที่กีดกันการเข้าถึงของส.ส. และแก้ปัญหาการรับรู้ทิศทางข่าวสาร นอกจากนี้ในการสื่อสารของพรรคต่อสาธารณะ ต้องดูโอกาสจังหวะที่เหมาะสม ลดการเสียดสี และใช้ภาษาพูดที่เข้าใจง่ายขึ้น และส.ส.ทุกคนต้องเก็บความลับโดยเฉพาะผลประชุมสำคัญ เพราะคู่แข่งจะล่วงรู้ก่อน ที่สำคัญคู่แข่งกำลังทำลายภาพลักษณ์ของพรรค ดังนั้น พรรคประชาธิปัตย์ต้องรบแบบกองโจรบ้าง หัวใจคือซ่อมแซมภาพลักษณ์ที่ชำรุด และสร้างภาพลักษณ์ที่เข้าใจง่าย และต้องนำเสนอชุดถ้อยคำเช่น อภิสิทธิ์พูดจริง ยิ่งลักษณ์ยิ่งหลอก เป็นต้น
ทั้งนี้ช่วงท้ายนายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่ส.ส.ทุกคนมีอิสระ สะท้อนปัญหาอย่างตรงไปตรงมา แต่ขอเรื่องการเก็บข้อมูลสำคัญเป็นความลับเพื่อเอกภาพของพรรค และให้ร่วมแรงร่วมใจกันทำงานเพื่อพรรค อย่าชิงดีชิงเด่น
สั่งกก.บห.เก็บความลับ
รายงานข่าวแจ้งว่า ในการประชุมกรรม การบริหารพรรคเมื่อวันที่ 2 ก.ย.ที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ ได้เตือนกรรมการบริหารพรรคทุกคนให้เก็บความลับของการประชุม ภายหลังผลวิจัยที่นำเสนอต่อที่ประชุมกรรมการบริหารพรรค ซึ่งระบุถึงข้อบกพร่องและภาพลักษณ์ในทางไม่ดีของพรรค ปรากฏเป็นข่าว เพราะเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ในทางไม่ดีของพรรค ทั้งที่ผลวิจัยเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการไปสำรวจความเห็นประชาชนเท่านั้น
"เรื่องนี้พอออกไป มันกระทบกับพรรค ทั้งที่มันแค่วิจัยเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นต่อไปควรมีผู้รับผิดชอบในการให้ข่าวเพียงคนเดียวเพื่อไม่ให้สับสน ถ้าพวกเรามีวินัยกันมากกว่านี้ ปัญหาดังกล่าวคงไม่เกิดขึ้น" แหล่งข่าวระบุคำพูดของนายอภิสิทธิ์ต่อหน้ากรรมการบริหารพรรค ทั้งนี้ กรรมการบริหารจึงมอบให้นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรค เป็นผู้แถลงผลประชุมเพื่อความเป็นเอกภาพของการให้ข่าว
เร่งขันนอต-ระดมมวลชน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ว่า ผลวิจัยที่พรรคดำเนินการนั้นมีหลายส่วน ผลวิจัยที่ปรากฏเป็นข่าวเป็นเพียงส่วนหนึ่ง โดยไปสอบถามจากกลุ่มที่เลือกพรรคเพื่อไทยและกลุ่มเสื้อแดง แต่ยังมีการสอบถามในกลุ่มอื่นอีก
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า แนวทางการปรับการทำงานของพรรคมี 2 ส่วน ที่ต้องทำให้เห็นชัดเจนคือ 1.งานในภาพรวม และ 2.งานภาคพื้นที่หรืองานมวลชนกลุ่มต่างๆ ซึ่งเราหวังการรวมพลังจากคนกลุ่มต่างๆ เพื่อมาช่วยกันผลักดันบ้านเมืองให้เดินในแนวทางที่ถูกต้อง เราไม่ได้มองเพียงผลการเลือกตั้ง แต่ต้องรวมคนที่หวังดีต่อประเทศให้มาเดินหน้าขับเคลื่อนสังคมร่วมกัน ส่วนจะต้องรออีกกี่ปีกว่าจะกลับมาเป็นรัฐบาลนั้น อนาคตการเมืองมองยาก เพราะทุกวันนี้การเมืองผกผัน มีเพียงทางเดียวคือเดินหน้าทำงานให้เร็วที่สุด ด้วยการลงพื้นที่ เราต้องทำในรูปแบบระดมกำลังให้กลุ่มในสังคมมาช่วยกันผลักดันขับเคลื่อน
ยอมรับงานพีอาร์อ่อน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงยุทธศาสตร์พื้นที่ที่พรรคไม่มีส.ส.โดยเฉพาะภาคอีสานว่า ในพื้นที่ที่เราไม่มีส.ส. เราต้องหาคนเข้าไปทำความเข้าใจและชี้แจงประชาชนถึงจุดยืนของพรรคที่แท้จริง ยกตัวอย่างจากงานวิจัย ผลงานและนโยบายที่เราทำ บางทีประชาชนในพื้นที่ไม่รู้ แถมยังเข้าใจว่าเป็นผลงานของพรรคคู่แข่งด้วยซ้ำ ยอมรับว่าเราขาดด้านการประชาสัมพันธ์ในพื้นที่ ขาดเครือข่ายที่ไปตอกย้ำและให้ข้อมูลที่ถูกต้อง
เมื่อถามถึงนายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก ผู้ช่วยเลขานุการรมว.มหาดไทยและแกนนำเสื้อแดงมีแนวคิดใช้งบกระทรวงมหาดไทยตั้งกลุ่มเสื้อแดงเป็นอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การจัดตั้งมวลชนที่พรรคเพื่อไทยทำและเป็นเนื้อเดียวกับกลุ่มเสื้อแดงเป็นที่ทราบกันอยู่แล้ว แต่พรรคเราทำการเมืองแบบไม่แบ่งแยกประชาชน ไม่แบ่งแยกประเทศ ซึ่งเป็นโจทย์ที่ยาก แต่นานไปประชาชนจะเข้าใจ และพรรคไม่กังวลต่ออำนาจรัฐของพรรคเพื่อไทย เพราะพรรคต่อสู้กับอำนาจรัฐมาตลอด และจะยึดมั่นในเป้าหมายตรงนี้
ดักคอ′ปู′คุยเขมรโปร่งใส
นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงกรณีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯและนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ มีแนวคิดเยือนกัมพูชาว่า สามารถไปได้ตามธรรมเนียมเพื่อแนะนำตัวในฐานะเป็นรัฐบาลใหม่ ส่วนจะไปเจรจาให้ส่งตัวนายวีระ สมความคิด และนางสาวราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ เป็นเรื่องดี เป็นหน้าที่ที่รัฐบาลดูแลคนไทยทุกคน
เมื่อถามว่าหากกัมพูชายอมปล่อยตัวทั้งสองจะเป็นการตบหน้ารัฐบาลประชาธิปัตย์หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า "ก็ดี แต่ต้องทำโปร่งใสว่าเงื่อนไขที่ไปเจรจาเป็นอย่างไร ไม่ใช่ไปรับเงื่อนไขที่เสียหายต่อส่วนรวม
′เทือก′ท้า′ปึ้ง′พูดให้ชัด
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ ธานี พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ เตรียมสอบสวนเรื่องการเจรจาลับเพื่อแลกผลประโยชน์ทางทะเลกับประเทศกัมพูชาว่า อยากให้นายสุรพงษ์พูดให้ชัด ตนจะได้ตอบให้ชัด ตนไม่ได้ท้าทาย แต่สนับสนุนให้รัฐบาลช่วยสอบเรื่องนี้ และแถลงผลสอบออกมาให้ประชาชนทราบว่าที่กล่าวหาว่ามีการเจรจาลับนั้น ลับอย่างไร หรือถ้าบอกว่าเป็นการเจรจาเพื่อหาประโยชน์ จะหาประโยชน์ตรงไหน ตนจะได้ทราบข้อมูลและต่อไปหากรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไปเจรจาเรื่องนี้ ตนจะได้รับทราบและซักถามได้
เหน็บแค่รมต.มือใหม่
นายสุเทพ กล่าวว่า นายสุรพงษ์ อาจเพิ่งมาเป็นรมว.ต่างประเทศ จึงไม่เข้าใจมารยาทการติดต่อกับต่างประเทศว่าเขามีขั้นตอนการเจรจากันอย่างไรบ้าง ซึ่งการพบกันระหว่างตนกับนายซกอาน รองนายกฯ กัมพูชานั้น ตนได้รับการมอบหมายจากที่ประชุมครม. โดยมีบันทึกเป็นหลักฐานชัดเจน และตนได้เจรจากับนายซกอาน อย่างไม่เป็นทางการใน 3 ประเด็นที่ยังเป็นปัญหาอยู่คือ 1.นายซกอาน บอกว่าจะไม่เจรจาเรื่องเขาพระวิหาร
นายสุเทพ กล่าวว่า 2.เรื่องพื้นที่เกาะกูด นายซกอานเสนอว่าจะไม่เจรจา ซึ่งตนบอกว่าไม่ได้เพราะการจะแยกพื้นที่ทางบกและน้ำ เป็นหลักการที่ทำได้ แต่จะแยกเกาะไม่ได้ เพราะเขมรได้ลากเส้นผ่าเกาะกูด และจะเอาเกาะกูดไป ซึ่งนายซกอานอ้างว่าเรื่องนี้ในสมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิน ชินวัตร มีการเจรจาก้าวหน้าไปมาก และจวนจะเสร็จแล้ว แต่ตนไม่ได้ดูรายละเอียดว่าเขาเจรจากันอย่างไร และ 3.เรื่องการพัฒนาแหล่งทรัพยากรในทะเล ซึ่งนายซกอานมีข้อเสนอให้แบ่งพื้นที่ด้วยวิธีตีตารางหมากรุก
ทำหนังสือถามเขมร
"ทั้งหมดไม่มีการเจรจาลับ มีคนรู้เรื่องเหล่านี้ 30-40 คน เพราะหลังจากผมหารืออย่างไม่เป็นทางการกับนายซกอาน ได้มาร่วมประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมตัวเจรจากับคณะของนายซกอาน อย่างเป็นทางการต่อไป มีทั้งนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ น.พ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.พลังงานในขณะนั้น รวมถึงผู้ว่าการการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย แต่การเจรจาอย่างเป็นทางการกับนายซกอาน ไม่เกิดขึ้น เนื่องจากขณะนั้นประเทศเกิดปัญหาเกี่ยวกับคนเสื้อแดงพอดี" นายสุเทพ กล่าว
เมื่อถามว่านายซกอาน เป็นผู้ประสานให้มีการหารือนอกรอบ แต่เหตุใดจึงมีเอกสารกล่าวหาว่ารัฐบาลไทยเสนอให้เจรจาลับ นายสุเทพ กล่าวว่า เป็นเทคนิค แต่เรื่องนี้เป็นแถลงการณ์ของการปิโตรเลียมของกัมพูชา ไม่ใช่แถลงการณ์ของนายซกอาน ขณะนี้จึงไปต่อว่าเลยยังไม่ได้ แต่เร็วๆ นี้ตนจะทำหนังสือสอบถามว่าทำไมจึงปล่อยให้หน่วยงานในความรับผิดชอบกระทำอย่างนี้ ขอให้ดูเรื่องกิริยามารยาทด้วย ส่วนการทำหนังสือสอบถามโดยตรงไปยังการปิโตร เลียมของกัมพูชานั้น ตนขอดูความชัดเจนในเรื่องนี้ก่อน
รู้ตัวถูกพท.ไล่เช็กบิล
นายสุเทพ กล่าวถึงข้อกล่าวหาร่วมตั้งบริษัทธุรกิจพลังงานกับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรมว.กลาโหม เพื่อหาประโยชน์เกี่ยวกับพลังงานร่วมกันว่า ยืนยันว่าไม่มีบริษัทเกี่ยวกับพลังงาน หากใครหาข้อเท็จจริงว่าตนไปจดทะเบียนตั้งบริษัทจะชื่อคนอื่นหรือชื่อตน หรือใครที่เกี่ยวข้องกับตน ช่วยนำมาเปิดเผยกับสาธารณชน ตนยินดีจะยกกิจการทั้งหลายให้กับโรงเรียนคนตาบอด คนหูหนวก คนปัญญาอ่อน
ส่วนที่นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาด้านกฎหมายของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เคยระบุถ้าใครพบว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ไปลงทุนเกี่ยวกับน้ำมันจะให้เงิน 20 ล้านบาทนั้น นายสุเทพ กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณสิ้นเปลืองกับนายนพดล ไปเยอะแล้ว ตนไม่มีอะไรจะไปเกทับขนาดนั้น
"ผมไม่แปลกใจกับพฤติกรรมของรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย เพราะเมื่อผลการเลือกตั้งออกมา ผมก็ตั้งหลักแล้วว่าต่อไปนี้ คนพวกนี้ต้องหาเรื่องผมสารพัดชนิด ผมพร้อมตั้งรับอยู่แล้ว" นายสุเทพ กล่าว
กษิตย้ำเกาะกูดเป็นของไทย
ด้านนายกษิต ภิรมย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะอดีตรมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงข้อเสนอของนายซกอาน ในการขีดเส้นแบ่งพื้นที่ผ่าเกาะกูด จ.ตราด เพื่อเอาพื้นที่บางส่วนเป็นของกัมพูชาว่า ไม่สามารถทำได้ เพราะผิดสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศสปี ค.ศ.1907 ที่ระบุว่าเกาะกูดเป็นของไทย
นพดลขู่ฟ้องปชป.ป้ายสีแม้ว
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวถึงนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ระบุสมัยพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกฯ ได้สั่งการให้นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รมว.ต่างประเทศในขณะนั้นเซ็นยินยอมให้กัมพูชาลากเส้นเขตแดนผ่านเกาะกูด จ.ตราด เข้ามาในอ่าวไทยว่า นายชวนนท์ ได้สร้างความเข้าใจผิดให้ประชาชนว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ทำประเทศเสียประโยชน์ เสียดินแดน ซึ่งไม่เข้าใจว่าถ้าเป็นเรื่องจริง ทำไมถึงเพิ่งนำมาพูดในช่วงที่มีประเด็นเกี่ยวโยงถึงรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์กรณีปิโตรเลียมกัมพูชาออกแถลงการณ์ว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ เปิดเจรจาลับกับกัมพูชาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนทางทะเล ทำไมไม่เปิดเผยตอนที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล
นายนพดล กล่าวว่า การพูดของนาย ชวนนท์ เพื่อทำลายเครดิต กล่าวหากันมากกว่า เพราะพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยดำเนินการเรื่องดังกล่าว และเอ็มโอยู 43 ทำโดยข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคนิค เชี่ยวชาญกฎหมายทางทะเล มั่นใจว่าข้าราชการไม่ทำให้ประเทศเสียประโยชน์แน่ เช่นเดียวกับนายสุรเกียรติ์ ก็คงไม่ยอมให้ประเทศเสียประโยชน์ ถ้าพรรคประชาธิปัตย์มีหลักฐานเรื่องนี้ก็ฟ้องได้เลย ทั้งนี้ ตนและทีมกฎหมายกำลังศึกษาคำให้สัมภาษณ์ของนายชวนนท์ เพื่อฟ้องหมิ่นประมาทเพราะเป็นคำกล่าวหาที่รุนแรง ต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาด ไม่ให้นักการเมืองออกมากล่าวหาโดยปราศจากข้อเท็จจริงอีก
′กฤษณา′รอมติพท.ลาออกส.ส.
ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.กฤษณา สีหลักษณ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการลาออกจากการเป็นส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทยว่า เรื่องนี้ยังเป็นแค่ความเห็นของ ส.ส. ต้องรอให้ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคมีมติอย่างเป็นทางการก่อน หากมีมติออกมาอย่างไรก็พร้อมปฏิบัติตาม แต่ยังไม่รู้จะมีการประชุมกรรมการบริหารพรรคอีกเมื่อใด เชื่อว่ามติของที่ประชุมส.ส.เป็นแค่การเรียกร้องให้แสดงสปิริตมากกว่า แต่ตนคงจะยังไม่ลาออกจากตำแหน่งส.ส.
โยน′ปู′ชี้ขาดประธานวิป
นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมการประสาน งานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ชั่วคราว เปิดเผยว่า ในวันจันทร์ที่ 5 ก.ย.นี้ วิปรัฐบาลชั่วคราวจะมีการประชุมเพื่อพิจารณาการตั้งวิปรัฐบาล ซึ่งจะมีทั้งสิ้น 60 คน แยกเป็นส.ส.พรรคเพื่อไทย 50 คนและพรรคร่วมรัฐบาล 10 คน จากนั้นจะเสนอต่อสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อให้นายกฯเสนอที่ประชุม ครม.วันที่ 6 ก.ย.
นายไพจิต กล่าวว่า ส่วนประธานวิปรัฐบาลนั้น มีบุคคลที่อยู่ในการพิจารณาแยกเป็น 2 ส่วนคือ มาจากรัฐมนตรี ประกอบด้วย นายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข และน.พ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อีกส่วนมาจากส.ส. ประกอบด้วย นายอุดมเดช รัตนเสถียร ส.ส.นนทบุรี นายพีรพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร และตนเอง ซึ่งจะนำเสนอต่อนายกฯ ตัดสินใจเลือกคนใดคนหนึ่งอีกครั้ง
เสธ.ไอซ์ชี้ตั้งเสื้อแดงไม่เสียหาย
ที่สถานสงเคราะห์เด็กหญิงบ้านราชวิถี พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต หรือ เสธ.ไอซ์ อดีตหัวหน้าคณะฝ่ายเสนาธิการประจำ รมว.กลาโหม และแกนนำ ตท.10 พร้อมภรรยาและบุตรสาว ได้ทำบุญเลี้ยงอาหารและมอบของให้กับเด็กสถานสงเคราะห์ ในโอกาสวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 62 ปี โดยในงานมีเพื่อนร่วมรุ่น ตท.10 ผู้ใต้บังคับบัญชาเหล่าทหารม้า ตำรวจ พ่อค้า และแกนนำนปช. รวมถึงศิลปินดารานักร้องมาร่วมจำนวนมาก
พล.อ.ไตรรงค์ ให้สัมภาษณ์ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ ถือเป็นผู้ความรู้ ความสามารถดังนั้นควรให้โอกาสและเวลาในการทำงาน ทั้งนี้ ยอมรับว่าได้โทรศัพท์พูดคุยกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะเพื่อนร่วมรุ่น ตท.10 ในช่วงวันนักขัตฤกษ์ เมื่อถามว่ามีการทาบทามให้มาช่วยงานหรือไม่ พล.อ.ไตรรงค์ กล่าวว่า ส่วนตัวต้องการดูแลสังคมโดยเฉพาะเด็กกำพร้า เพราะตนก็กำพร้าเหมือนกัน ส่วนที่มีการตั้งแกนนำคนเสื้อแดงมาดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น เชื่อว่าทุกคนที่ได้รับการแต่งตั้ง เป็นผู้ที่มีความรู้ และยังไม่ได้ทำงานอะไรเสียหาย
เมื่อถามว่าเป็นห่วงการจัดทำบัญชีรายชื่อโยกย้ายนายทหารประจำปี 2554 หรือไม่ พล.อ.ไตรรงค์ กล่าวว่า ตนห่างจากกองทัพมานานแล้ว แต่ขอให้กำลังใจทุกคน และรัฐบาลทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ขอฝากนายทหารรุ่นน้องๆ ให้มีความรักความสามัคคี เชื่อว่าสิ่งที่ผู้บังคับบัญชาตัดสินใจคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว
โฆษกยันรบ.ไม่แทรกแซงสื่อ
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 3 ก.ย. ที่มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ มีการสัมมนาเรื่อง "นโยบายสื่อภายใต้รัฐบาลใหม่ : ปิดกั้น แทรกแซง หรือเสรี" จัดโดยนักศึกษาหลักสูตรนิเทศศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
นางฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาและประชาชน มีเนื้อหาเกี่ยวกับการส่งเสริมสื่อให้เกิดเสรีภาพ อิสระ และมีความรับผิดชอบ ทั้งการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับเทคโนโลยี ซึ่งนายกฯ เข้ามาทำงานโดยยืนยันว่าจะมองข้ามความขัดแย้ง และเน้นความสามัคคีเป็นเป้าหมายแรกๆ ซึ่งรัฐบาลพร้อมสร้างความปรองดอง ไม่แก้แค้น คิดแก้ไข และแก้ปัญหาปากท้องประชาชนเป็นสิ่งแรกๆ รวมทั้งเปิดใจรับฟังประชาชน
นางฐิติมา กล่าวว่ารัฐบาลจะเปิดโอกาสให้สื่อทำหน้าที่อย่างเสรีภาพ ปราศจากการแทรกแซง และขอให้เชื่อมั่นว่า รัฐบาลไม่ต้องการปิดกั้น ต้องการให้เสรีภาพสื่อมวลชนอย่างแท้จริง แต่ขอให้สื่อมีจริยธรรมในการทำหน้าที่ ไม่บิดเบือนข้อเท็จจริง ถ้าทุกฝ่ายทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ก็ไม่เกิดปัญหา หากช่วยกัน เชื่อว่าจะนำไปสู่การหลุดจากวิกฤตของความขัดแย้งได้ ซึ่งรัฐบาลต้องการทำงานเดินหน้าไป คงไม่มีใครอยากให้เกิดการรัฐประหาร ซึ่งนำไปสู่การปิดกั้นสื่ออย่างแน่นอน "รัฐบาลพร้อมตอบคำถามผู้สื่อข่าว เพียงแต่บางคำถาม ไม่สามารถตอบได้ ก็ต้องไปหาคำตอบ และนายกฯยืนยันว่าจะดูแลสื่อมวลชนเป็นอย่างดี"
เผยฎีกา′แม้ว′ถึงมือรมว.ยุติธรรม
เมื่อวันที่ 3 ก.ย. นายชาติชาย สุทธิกลม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบรายชื่อผู้ยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า ขณะนี้กรมราชทัณฑ์ได้ตรวจสอบรายชื่อผู้ยื่นถวายฎีกาจำนวนกว่า 3.6 ล้านคนเสร็จสิ้นแล้ว ทั้งนี้ ขั้นตอนการตรวจสอบที่ผ่านมาได้ตรวจสอบรายชื่อกับทะเบียนราษฎร พบว่าจำนวนรายชื่อ 2 ล้านรายชื่อมีตัวตนจริง ส่วนที่เหลือพบว่าชื่อและนามสกุลไม่ตรง
นายชาติชายกล่าวว่า ขณะนี้กรมราชทัณฑ์ได้รายงานความคืบหน้าต่อนายถิรชัย วุฒิธรรม เลขานุการ รมว.ยุติธรรม และได้ส่งข้อมูลทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ไปยังน.ส.กัญญานุช สอทิพย์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม แล้วเพื่อเสนอให้พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม เป็นผู้พิจารณาทำความเห็นเสนอประกอบการนำเสนอฎีกาตามกฎหมายต่อไป ซึ่งรมว.ยุติธรรมจะมีความเห็นเช่นไรนั้นกรมไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายได้และถือว่าสิ้นสุดภารกิจของกรมราชทัณฑ์แล้ว หาก รมว.ยุติธรรมมีความเห็นอย่างไรก็จะทำความเห็นถึงสำนักราชเลขาธิการต่อไป
′สุรเกียรติ์′แถลงการณ์โต้ปชป.
วันที่ 3 ก.ย. นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ต่างประเทศ ออกแถลงการณ์ชี้แจงข้อกล่าวหาของนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เรื่องการลงนามในเอ็มโอยู 2544 ตั้งคณะกรรมการเจรจาไทย-กัมพูชา ที่ระบุพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯเพียง 2-3 เดือน ได้สั่งให้นายสุรเกียรติ์ไปลงนามเอ็มโอยู ยอมรับเส้นเขตแดนที่กัมพูชาลากทับผ่านเกาะกูดนั้น ขอเรียนว่าข้อความที่ให้สัมภาษณ์ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงทั้งในด้านประวัติศาสตร์การเจรจา ข้อความและแผนที่แนบท้ายเอ็มโอยู ไทย-กัมพูชา 2544 ดังนี้
1.การเจรจาเพื่อปักปันเส้นเขตแดนและแบ่งปันผลประโยชน์จากทรัพยากรทางทะเล (ก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน) ในบริเวณพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชานั้น รัฐบาลและข้าราชการของทั้งสองประเทศได้เจรจาติดต่อกันมานานกว่า 25 ปีแล้ว เช่น ในปี 2537-38 มีการเจรจาอย่างเป็นทางการแต่ยังไม่ได้ข้อสรุป จึงแต่งตั้งคณะกรรมการด้านเทคนิคขึ้นมาศึกษา ต่อมาในเดือนต.ค. 2543 (รัฐบาลนายชวน หลีกภัย) และเดือนเม.ย. 2544 (รัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) ข้าราชการและผู้เชี่ยวชาญทั้งสองฝ่ายได้ประชุมและตกลงว่าควรเริ่มการเจรจาเส้นเขตแดนทางทะเลและการพัฒนาในพื้นที่ทับซ้อนร่วมกันอย่างเป็นทางการ จนนำไปสู่การลงนามในเอ็มโอยูว่าด้วยเขตทับซ้อนทางทะเลในเดือนมิ.ย. 2544 ดังนั้น เอ็มโอยู 2544 จึงไม่ได้เกิดขึ้นโดยใช้เวลาเพียง 3 เดือน แต่มีการเจรจาต่อเนื่องในทุกรัฐบาล และไม่ใช่เรื่องที่ฝ่ายการเมืองไปเจรจาในรายละเอียดของเอ็มโอยู
2.เอ็มโอยู 2544 นับเป็นความสำเร็จของคณะเจรจาและกระทรวงการต่างประเทศ เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่ฝ่ายไทยเจรจาเพื่อให้กัมพูชายอมรับว่าอธิปไตยเหนือเกาะกูดทั้งเกาะนั้นเป็นของไทย ซึ่งตั้งแต่ปี 2515 เป็นต้นมา กัมพูชาได้ลากเส้นแบ่งเขตแดนทางทะเลผ่านกลางเกาะกูดมาตลอด และนับเป็นครั้งแรกที่กัมพูชายอมรับในหลักการว่า การเจรจาเรื่องการแบ่งปันผลประโยชน์จากก๊าซและน้ำมันในพื้นที่ทับซ้อนจะต้องทำควบคู่กับการแบ่งเส้นเขตแดน ซึ่งหลักการเช่นนี้จะป้องกันไม่ให้ฝ่ายการเมืองของทั้งสองประเทศเจรจาแบ่งปันผลประโยชน์กันได้ หากยังไม่สามารถตกลงเรื่องเส้นเขตแดนทางทะเลที่ชัดเจน ถือเป็นความชาญฉลาดของคณะเจรจาในขณะนั้น (คณะเจรจาประกอบด้วยนายกฤษณ์ กาญจนกุญชร อธิบดีกรมสนธิสัญญาในขณะนั้น, พล.ร.อ.ถนอม เจริญลาภ ผู้เชี่ยวชาญเส้นเขตแดนทางทะเล และข้าราชการจากกระทรวงอุตสาหกรรม, ปตท., กรมแผนที่ทหาร, สภาความมั่นคงแห่งชาติ และกองทัพไทย)
3.สาระสำคัญของเอ็มโอยู 2544 ไม่ใช่ข้อตกลงเรื่องการกำหนดเส้นเขตแดนหรือการแบ่งผลประโยชน์ในทรัพยากรทางทะเล แต่เป็นการตั้งเวทีอย่างเป็นทางการในการเจรจาปักปันเส้นเขตแดนในพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิทับซ้อนกัน และพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนร่วมกัน ที่สำคัญแผนที่แนบท้ายเอ็มโอยู 2544 ได้กำหนดพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไว้ชัดเจน และเป็นไปตามหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศ อีกทั้งยังกำหนดว่าเกาะกูดทั้งเกาะนั้นเป็นของไทย ไม่ได้ตั้งอยู่ในพื้นที่ทับซ้อนอีกต่อไป นั่นเป็นสาเหตุทำให้นักวิชาการด้านกฎหมายระหว่างประเทศออกมาคัดค้านการที่ รมว.ต่างประเทศ (นายกษิต ภิรมย์) จะบอกเลิกเอ็มโอยู 2544 จนทำให้รัฐบาลในขณะนั้นไม่นำเรื่องการยกเลิกเอ็มโอยู 2544 เสนอให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบ เพราะหากยกเลิกจะทำให้กัมพูชากลับมาอ้างสิทธิอธิปไตยเหนือเกาะกูดบางส่วนได้
4.เห็นว่าการเจรจาเส้นเขตแดนทั้งทางบกและทางทะเลนั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะมาพิจารณาว่าเกิดขึ้นในสมัยของนายกฯ คนใด เพราะเป็นเรื่องของคณะเจรจา ซึ่งมีความรักและหวงแหนอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติ และได้เจรจาต่อเนื่องมานานนับสิบปี
คิดว่าทุกฝ่ายในสังคมไทยจะต้องหยุดนำเรื่องการเจรจาเส้นเขตแดนหรือความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านมาสร้างกระแสชาตินิยม หรือนำมาใช้เล่นการเมืองได้แล้ว ทุกฝ่ายควรหยุดนำเอ็มโอยู 2543 และ 2544 มากล่าวหากัน เพราะมั่นใจและเชื่อมั่นว่าคณะผู้เจรจาทำด้วยความตั้งใจ ทุ่มเท และมีจุดยืนที่ชัดเจนในการรักษาผลประโยชน์ของชาติ หากสังคมไทยเห็นว่าท่าทีและจุดยืนการเจรจาภายใต้เอ็มโอยูยังไม่สามารถรักษาผลประโยชน์ของประเทศได้เต็มที่ สามารถผลักดันให้แก้ไขปรับปรุงจุดยืนและท่าทีของการเจรจาเหล่านั้นได้ โดยไม่ต้องล้มเวทีการเจรจาที่ถูกกำหนดขึ้นโดยเอ็มโอยู
0 comments:
Post a Comment