ความรู้สึกทางเพศในผู้หญิงและผู้ชาย มีอะไรที่แตกต่างกัน พลังขับที่เคลื่อนไหวอยู่ภายในกายของเขาและเธอ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์หรือจินตนาการ มีอะไรที่เหมือนหรือแตกต่าง ข้อมุลต่อไปนี้ จะช่วยตีแผ่เบื้องลึกของแรงปรารถนาในสตรีเพศที่ผู้ชายควรรรู้ไว้ดังนี้
“เมื่อฉันยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อโทรฯถึงเขา หัวใจฉันเต้นแรงขึ้นด้วยความรู้สึกตื่นเต้น มันแรงขึ้นจนเกือบเป็นหอบถี่ๆ คงเป็นเพราะเลือกสูบฉีดอย่างรวดเร็ว เขากลับมาแล้ว คนที่จากแฟนไปนานนับปี แม้ว่าเราไม่เคยมีสัมพันธทางเพศกันเลย แต่เขาก็เป็นชายที่ฉันพึงใจอยู่เงียบๆ แค่เพียงได้ยินว่าเขาติดต่อมา หัวใจฉันก็พองโต ความจริงฉันกำลังหวั่นไหวกับชีวิต การผ่านการแต่งงาน ไม่ได้ช่วยให้ฉันสุขุมขึ้น มือที่กำโทรศัพท์เย็นเฉียบ แม้จะบอกกับหัวใจให้อยู่นิ่งๆ แต่มันก็ไม่สามารถควบคุมได้”
อาการที่เกิดขึ้นอย่างนี้ เป็นเรื่องของอารมณ์ราคะที่คุอยู่ภายในของคน ไม่ว่าเพศไหน เป็นความปรารถนาที่ซ่อนอยู่ อย่างที่เจ้าตัวไม่อาจควบคุมได้ แต่มันจะเร่งพลังรุนแรง ทำให้คนที่มีความรักความต้องการ รู้สึกว่าตนเองยังคงมีเลือดเนื้อและชีวิตอยู่
ผู้หญิงบางคน มีประสบการณ์ทางเพศกับผู้ชายที่อายุน้อยกว่า การนัดพบกันครั้งแล้วครั้งเล่า เขาเป็นฝ่ายผิดนัด เธอก็เฝ้ารอ และเมื่อพบกัน อารมณ์รักรุนแรงทวีทบขึ้นเป็นลำดับ จบลงด้วยด้วยบทเสน่ห์หาที่เร่าร้อน แล้วเขาก็เป็นฝ่ายจากไป
ความรู้สึกรุนแรงนั้น เกิดขึ้นเพราะเวลารอคอยที่สร้างความกระวนกระวายนั้นหรืออย่างไร นักจิตวิทยาเชื่อว่ามันเป็นเช่นนั้น ผู้หญิงที่อายุมากกว่า มีความมั่นคงทางการเงินมากกว่า มีอำนาจมากกว่าในฐานะที่ผ่านโลกมานาน แต่ผู้ชายก็สามารถสร้างอำนาจขึ้นมาคานไว้ได้ ด้วยการปลบ่อยให้เธอเป็นฝ่ายรอ สร้างความกังวลให้เธอยอมอ่อนข้อในอำนาจที่เธอมีอยู่นั้นลง
ส่วนผู้หญิงเอง ก็จะมีความรู้สึกทั้งพ่ายแพ้และทั้งชนะ ในแต่ละช่วงของพฤติกรรมที่เธอและเขากระทำร่วมกัน เวลาที่รอคอย จะทำให้เธอรู้สึกว่าเขาแข็งแรง บึกบึนเมื่ออยู่บนเตียง
แน่นอนที่สุดเซ็กส์มีพลัง และมีมากจนมนุษย์หวาดกลัว เป็นความรู้สึกที่ไม่อาจกวาดทิ้งไปได้ง่ายๆ และเพราะว่าเรารู้ถึงพลังอำนาจนี้ เราจึงตั้งกฏระเบียบและหลักประกัน หากเกิดการล่วงละเมิดทางเพศขึ้น
เราต้องการหลักประกัน ว่าจะไม่เจ็บปวดกับอารมณ์ปรารถนาที่เกิดขึ้นแล้วห้ามมันไม่ได้ จึงได้เกิดสถาบันครอบครัว การแต่งงาน และการอยู่ร่วมกัน โดยมีคำสัญญาว่าจะรักและดูแลกันและกัน ในยามแข็งแรงและเจ็บป่วย
เราผูกพฤติกรรมที่เกิดจากความต้องการทางเพศ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีพ ราวกับว่ากฏเกณฑ์อื่นๆ ในชีวิตมีไม่เพียงพอ
มีหนังสือหลายต่อหลายเล่มเปิดเปลือยความรู้สึกเร้นลับของผู้หญิง แต่ทั้งหมดจะเน้นให้เห็นพลังอำนาจในจินตนาการ ที่คนมีต่อความรู้สึกทางเพศ เราได้พบว่าบางครั้งมันประหลาดพิสดารจนไม่น่าเชื่อ และบ่อยครั้งที่ความลับเหล่านั้นของเธอ ถูกเปิดเผยโดยผู้ชาย
บางทีความรู้สึกผิดหรือละอาย กลับกลายเป็นเครื่องชูรสในจินตนาการทางเพศไปโดยไม่น่าจะเกี่ยวข้องกันเลย ความคิดฝันในเรื่องเพศในทรรศนะของนักจิตวิทยาเชื่อว่า มันเป็นทางออกอย่างหนึ่งที่ไม่มีทางเป็นจริงในชีวิต
ลึกลงไปในจิตใจผู้หญิง เธอต้องการอะไร ? เรื่องนี้แม้นักจิตวิทยาระดับโลก ก็ยังไม่รู้ซึ้งเท่า สิ่งที่ผู้หญิงแสวงหาในการมีเซ็กส์ คือความเท่าเทียมทางเพศ เธอไม่ต้องการเป็นผู้เสียสละอยู่ฝ่ายเดียว ไม่ต้องการเป็นผู้นอนรอ ไม่ต้องการเป็นฝ่ายให้ความรัก ความเห็นใจ และการยอมรับในทุกกรณี
สิ่งที่เธอต้องการคือเซ็กส์ที่เร่าร้อน ผู้ชายที่มีอวัยวะเพศแข็งแรง และต้องการให้คู่นอนของเธอสร้างความสุขให้แก่เธอ
เรื่องของการกระทำหรือการถูกกระทำทางเพศ ไม่น่าจะมีคำว่าเพศมาเป็นตัวแบ่ง ว่าใครเป็นคนทำ หรือฝ่ายไหนถูกกระทำ แต่มันควรเป็นเรื่องเท่าเทียมกันทั้งสองฝ่าย ควรเป็นสิ่งที่ใครจะรุกหรือเริ่มก็ได้ทั้งนั้น
เรื่องจริงเรื่องหนึ่งที่ที่นักจิตวิทยาไปเห็น และถูกนำมาเป็นฉากในหนังสือที่ชื่อ Ant women’s blues คือ ภายในห้องเร้นลับของคฤหาสน์ ที่มีผู้หญิงคนหนึ่งนอนเปลือยกายอยู่บนแท่นขนาดใหญ่ มีผู้ชายล้อมรอบตัวเธอ พวกเขาพากันนวดเฟ้นร่างกายของเธอ ไม่ว่าจะเป็นหลัง ไหล่ หรือแม้กระทั่งปลายเท้า มีบางคนจุมพิตที่ปลายเท้าของเธอ
ขณะที่นวด ผู้ชายบางคนอดกลั้นอารมณ์ไม่ไหว ถึงกับหลั่งน้ำรักออกมาอย่างรุนแรง นี่คือบทพิสุจน์ว่า ผู้หญิงก็ต้องการเป็นผู้พิชิตทางเพศด้วยเหมือนกัน
ทำไมผู้ชายเหล่านี้จึงยอมสิโรราบ ยอมเป็นเครื่องเล่นของผู้หญิง หรืออาจเป็นเพราะสำนึกลึกๆ ของเขาต้องการถูกเย้าแหย่ ถูกออกคำสั่งโดยคนที่เป็นเพศแม่ แต่นี่คือวิธีหนึ่งที่ผู้หญิงรู้สึกปลดปล่อย
ถ้าถามว่าผู้หญิงที่ออกเที่ยวกลางคืน มีนัดทานอาหารกับผู้ชายสองต่อสองเป็นผู้หญิงดีหรือไม่ คำตอบอาจจะยากสำหรับคำว่าดี แต่ที่แน่ๆ ผู้หญิงคนนั้นเชื้อเชิญเซ็กส์มาสู่ตัวเธอเอง
ไม่ว่าเธอจะปฏิบัตืมันอย่างเป็นการส่วนตัวแค่ไหน แต่เธอจะรู้สึกว่าปลดปล่อยความปรารถนาออกไปอย่างเต็มที่ และมันทำให้เธอรุ้สึกว่าชีวิตของเธอตื่นเต้นเป็นสุข บางทีเธอเรียกมันว่าความรัก แต่เป็นความรักในชีวิตทึ่เสรี เหมือนที่ผู้หญิงบางคนพอใจกับการรอคอยคนรัก แล้วร่วมรักกับเขาให้สมกับการรอคอย
เป็นไปได้ไหม ที่ความตื่นเต้นทางเพศกับความรักเป็นความรู้สึกเดียวกัน เรื่องนี้นักจิตวิทยาเชื่อว่า ความรู้สึกพอใจในรสสัมผัสเกิดขึ้นตั้งแต่เรายังเป็นทารก ไม่ว่าในอ้อมแขนหรือทรวงอกที่กอดกระชับ น้ำเสียงที่อ่อนโยน ล้วนสร้างความพอใจให้เป็นที่สุด
นักจิตวิทยาบางคนให้ความเห็นว่า การรอคอยของเด็กที่รอมารดามากอดรัด เป็นผลลัพท์อย่างหนึ่งที่จะพัฒนาขึ้น แล้วอาจทำให้คนๆ นั้น ยอมเป็นคนที่ยินยอมให้ถูกกระทำทางรุนแรงทางเพศแบบพวกซาโดมาโคจิสต์ เพราะเมื่อตอนเป็นเด็ก คนๆ นั้นอาจถูกพ่อหรือแม่ปล่อยให้ต้องรอคอยบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีรสนิยมทางเพศแบบไหน เป็นรักต่างเพศ รักร่วมเพศ เป็นผู้นิยมความรุนแรงเจ็บปวด หรือเป็นคนเขื้อชาติ ผิวสีใด ล้วนต้องการความรัก ความอบอุ่น และการปลดปล่อยทางเพศที่ทำให้เธอเป็นอิสระ
การที่เธอรอคอยให้ใครมาหา เป็นความกระวนกระวายที่เธอพอใจ ส่วนเขาจะมาหรือไปขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง แต่สิ่งที่เธอพอใจสูงสุด คือเมื่อถึงตอนจบของสัมพันธ์นั้น เธอเป็นฝ่ายทิ้งเขา
เรื่องอย่างนี้ผู้ชายมักทนไม่ได้ เขาทนการถูกทิ้งได้น้อยกว่าผู้หญิง เราจึงได้รับรู้ว่า ในอดีตมีนักรักหลายคนไม่ว่าจะเป็นดอนฮวน หรือคัสโนวา ไม่ยอมถูกทิ้ง เขาจึงชิงทิ้งผู้หญิงของเขาเสียก่อน
นักจิตวิทยาเคยได้รับจดหมายระบายความในใจจากหนุ่มน้อยคนหนึ่ง ที่มีอายุ 20 กว่าๆ เขาเติบโตขึ้นมาจากการเลี้ยงดูของมารดา ที่เป็นทั้งผู้หญิงธรรมดาและเป็นเลสเปี้ยนในคนเดียวกัน เมื่อเขามีคนรัก ทุกครั้งที่เขาปฏิบัติต่อเธอ เธอก็จะเบื่อและหนีหน้า และเมื่อเขาทำรุนแรงกับเธอ เธอกลับติดใจยอมเป็นทาสเขา ทำให้เขาสับสน
ที่จริงผู้ชายคนนี้ต้องการปฏิบัติต่อเธออย่างเท่าเทียมกับเขา แต่เธอกลับต้องการเป็นทาส นี่คือข้อพิสูจน์ข้อหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนว่า พลังทางเพศและจินตนาการที่ฝังลึกอยู่ภายใน แสดงออกมาเมื่อราคะมาเยือน
ในห้องนอนควรเป็นเขตปลดปล่อย เพื่อจิตนาการที่แล้วแต่จะพาไป
ในห้องนอนคุณและเธอ อาจจะเล่นเป็นตัวอะไรแล้วแต่ความคิดฝัน และให้ทำใจยอมรับว่า นี่คือละครบทหนึ่งที่ต้องทิ้งตอนจบไว้ที่นั่น โดยไม่นำออกมาใช้ในชีวิตประจำวันด้านอื่นๆ ถ้าคุณและเธอเข้าใจในกติกานี้ ความสุขก็จะเป็นของคุณ ความลงตัวในคู่ก็จะเป็นของคุณ
เซ็กส์ไม่เพียงแต่จะช่วยใมห้มนุษย์สืบเผ่าพันธุ์ หากยังทำให้คนที่เข้าใจขอบเขตของความเป็นคน รสสัมผัสมีพลังมากกว่าคำพูดหลายคำ หากเราปฏิเสธเซ็กส์ ปฏิเสธพลังขับของมัน เราก็จะปฏิเสธความรู้จักตนเอง การทำความรู้จักตนเองต้องกล้าหาญ มันมีอันตรายอยู่บ้างตรงที่อาจรู้สึกเจ็บปวดที่ตัวเองไม่ใช่คนในอุดมคติ
0 comments:
Post a Comment